เมื่อก่อนผู้เขียนไม่ชอบอ่านหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารทางธุรกิจ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวของผู้เขียนเสียเหลือเกิน การงานก็ผูกพันกับภาครัฐ เคยหยิบมาอ่านแล้วก็ไม่ถูกโรค ไม่เข้าใจข้อเขียนต่าง ๆ ในนั้นเท่าไหร่นัก แต่เมื่อสักสองสามปีที่ผ่านมา มีผู้ใหญ่และคนรู้จักหลายท่านได้ให้เกียรติผู้เขียนให้เข้าไปช่วยงานด้านธุรกิจต่าง ๆ หลายแห่ง เพราะเห็นว่าสิ่งที่ผู้เขียนทำอยู่แม้ว่าจะอิงอยู่กับงานภาครัฐแต่ก็เป็นประโยชน์ต่องานด้านธุรกิจ เมื่อผู้เขียนเข้าไปทำงานเหล่านั้น ก็กลายเป็นการบังคับให้ติดตามความเคลื่อนไหวทางธุรกิจ โดยผ่านหนังสือพิมพ์ วารสาร และนิตยสารทางธุรกิจต่าง ๆ แต่การอ่านอย่างมีเป้าหมายคราวนี้ ทำให้ผู้เขียนเห็นประโยชน์ของหนังสือเหล่านั้น ผู้เขียนพบว่า การวิเคราะห์ด้านการเมืองและเศรษฐกิจของหนังสือด้านธุรกิจเป็นสิ่งที่จับต้องได้และแสดงถึงผลที่เป็นรูปธรรมกว่าหนังสือพิมพ์ธรรมดา เพราะหน่วยธุรกิจต้องการข้อมูลเหล่านี้เพื่อการตัดสินใจลงทุน ซึ่งมีผลต่อองค์กรมากกว่าการอ่านแล้วผ่านไปอย่างการอ่านหนังสือธรรมดา
แล้ววันนี้ ผู้เขียนก็พบบทความที่น่าสนใจอีกหนึ่งบทความ จากหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ ๒๒-๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๑ หน้า ๔๒ คอลัมน์ "ประชาชาติปริทัศน์" เรื่องบันทึก-บันทุกข์ ของจรัญ ยั่งยืน ซึ่งเจ้าของบทความได้อ้างถึงหนังสือ "โจโฉ นายกฯ ตลอดกาล" ของ พลตรี มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ได้กล่าวไว้ว่า "สิ่งที่เป็นสุดยอดปรารถนาของนักการเมือง คือ อำนาจ แต่นักการเมืองทุกคนจะไม่ยอมรับข้อนี้ แต่ละคนจะต้องอ้างว่าตัวบำเพ็ญกรณีเพื่อประโยชน์สุขของคนทั้งปวง หรือเพื่อแผ่นดิน หรือเพื่อประชาธิปไตย"
ในหนังสือของท่านคึกฤทธิ์ยังเขียนต่อไปว่า "ความจริงนั้น อำนาจเป็นสิ่งที่นักการเมืองต้องการมากที่สุด เมื่ออำนาจเป็นยอดปรารถนาอย่างนี้แล้ว อำนาจจึงเป็นสิ่งที่กำหนดการกระทำของนักการเมืองในทุกกรณี...ความรัก ความโกรธ หรือคุณโทษ อำนาจเหมือนยาเสพย์ติด ถ้าได้มาแล้วก็ย่อมวางไม่ลง และย่อมจะต้องการอยู่เสมอ ไม่มีวันพอได้ ฉะนั้นเราจะเห็นว่านักการเมืองโดยทั่วไปบำเพ็ญกรณีเพื่อแสวงหาอำนาจ เมื่อได้มาแล้วก็อยากได้ต่อไปอีก ในที่สุดอำนาจนั่นเองก็ทำลายตนลงไป"
"อำนาจทำให้คนเปลี่ยนวิสัยจากคนไปเป็นนักการเมือง ทั้งนี้ก็เพราะว่าความใฝ่อำนาจหรือใฝ่สูงนั้นเป็นสัญชาตญาณของบรรดาสรรพสัตว์ทั้งปวง หากนักการเมืองผู้ใดมาพบเห็นข้อความข้างต้นนี้แล้ว นำไปปรับกับความรู้สึกของตนเอง และเห็นว่าไม่จริงแล้วไซร้ นักการเมืองผู้นั้นพึงรู้ไว้เถิดว่า ตนนั้นมิใช่นักการเมืองที่แท้จริง ถ้าไม่ใช่คนธรรมดาสามัญก็เป็นรัฐบุรุษ ซึ่งเป็นสัตว์อีกประเภทหนึ่งนอกเหนือไปจากนักการเมือง"
เมื่อผู้เขียนอ่านจบแล้ว ก็มานั่นคิดต่อว่า นี่คือ "สัจธรรม" เพราะแต่ไหนแต่ไรมา จากอดีตจนถึงปัจจุบัน จากจูเลียส ซีซาร์ ผ่านนโปเลียนมาจนถึงนักการเมืองชื่อดังทั้งหลายที่ยังโลดแล่นอยู่บนถนนสายอำนาจในปัจจุบัน ก็คงมีสันดานไม่ต่างจากข้อเขียนที่ท่านคึกฤทธิ์ระบุไว้ นี่คือคำตอบว่า ทำไมพวกนักการเมืองจึงแย่งกันเป็นรัฐมนตรี เป็นเลขานุการรัฐมนตรี เป็นกรรมการธิการต่าง ๆ พวกพรรคฝ่ายค้านขอเป็นรัฐมนตรีเงาก็ยังดี ส่วนพวกที่หมดสิทธิ์ลงสมัครก็ขอเป็นหัวหน้ามุ้ง เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง ด้วย "สันดาน" ดังกล่าวที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาล ผู้เขียนก็เชื่อว่า "สันดาน" นี้ยังคงสืบทอดต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน สมกับการเป็น "เชื้อชั่วไม่มีวันตาย"