Saturday, August 30, 2008

เหตุที่ฝ่ายทักษิณคิดว่าถูกกลั่นแกล้ง

ผู้เขียนไม่ฝักใฝ่การเมืองเท่าใดนัก แต่ด้วยหน้าที่การงานทำให้ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็มองการเมืองเป็นเรื่องโกหก แอบอ้าง "พี่น้องประชาชน" เพื่อเอาประโยชน์เข้าตัวเองทั้งสิ้น และที่สำคัญคือ ช่วงใดที่ใครมีอำนาจ เขาก็ทำอะไรได้โดยไม่ผิด เมื่อก่อนวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ฝ่ายทักษิณก็ทำอะไรได้ทุกอย่าง ขี่รถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัยและไม่มีใบขับขี่จักรยานยนต์ก็ไม่มีความผิด (มีข้ออ้างที่พอฟังขึ้นว่า หาหมวกนิภัยทรงสี่เหลี่ยมไม่ได้ เขาผลิตแต่หมวกทรงกลม) พอมาในยุคปัจจุบันสถานการณ์ก็กลับกันบ้าง ดังตัวอย่างต่อไปนี้

กรณีบ้านคุณหญิงอะไรสักอย่าง ที่เป็นผู้ตรวจสอบการทุจริตของนักการเมือง โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ทักษิณและพรรคพวก เมื่อเดือนที่แล้วมีคนออกมาโจมตีว่า คุณหญิงนี่รวยมาจากไหน มีเงินมาสร้างบ้านราคา ๔๐ - ๕๐ ล้านบาท ฝ่ายคุณหญิงก็ออกมาแก้ตัวว่าบ้านหลักละแค่สี่ล้านบาทเท่านั้น จากนั้นก็ไม่มีใครสนใจ เพราะฝ่ายโจมตีเป็นฝ่ายทักษิณที่มีต้นทุนทางสังคมต่ำกว่าฝ่ายคุณหญิง จนถึงวันหนึ่งบ้านที่กำลังสร้างนี้ก็ถูกลอบวางเพลิง จึงเปิดเผยออกมาว่า บ้านหลังนี้ขนาดกว่า ๑,๐๐๐ ตารางเมตร มี ๘ ห้องนอน ๘ ห้องน้ำ และหนึ่งหอดูดาว ลองถามเพื่อนที่เป็นสถาปนิก เขาบอกว่า ราคาค่าก่อสร้างเฉพาะโครงสร้างอย่างเดียว ประมาณตารางเมตรละ ๑๕,๐๐๐ บาท ฉะนั้น เฉพาะตัวอาคารก็ปาเข้าไป ๑๕ ล้านบาทแล้ว นี่ยังไม่รวมค่าตกแต่งภายในและพวกต้นไม้ สนามหญ้า สระว่ายน้ำ (ถ้ามี) ถนน ลาน/อาคารจอดรถ เข้าไปอีก ฟังจากข้อมูลของทั้งสองฝ่ายแล้ว ดูว่าบ้านหลังนี้ราคาจริง ๆ น่าจะใกล้เคียงกับ ๔๐ ล้านบาทมากกว่า ๔ ล้านบาท เขายังสำทับมาว่า ถ้าเขาเจอผู้รับเหมารายไหนที่สร้างบ้านขนาดนี้ได้ในราคา ๔ ล้านบาท เขาจะเอามาสร้างบ้านตนเองบ้าง ให้ราคาสิบล้านบาทเลยก็ได้ น่าสงสัยว่า ทำไมเรื่องนี้ไม่มีการตรวจสอบจากหน่วยงานของรัฐและองค์กรอิสระ ฝ่ายพันธมิตรที่มีคนจบคณะสถาปัตย์ จุฬาฯ ขึ้นเวทีร้องเพลงแปลงได้ทุกวันก็ไม่เห็นจับมาเป็นประเด็น

อีกเรื่อง ที่มีตำรวจตีม็อบเมื่อวานนี้ แล้วเหล่า สว. จำนวน ๔๐ กว่าคนทราบข่าวเข้าก็ทนไม่ได้ รีบเข้ามาให้กำลังใจ และติดต่อเพื่อหารือไปยังนายกรัฐมนตรีทันที โฆษกรัฐบาลก็ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างมีเหตุมีผลว่า การกระทำของ สว. เหล่านั้นน่าจะมีเบื้องหลังและวาระซ่อนเร้น เพราะเมื่อวันที่สถานีโทรทัศน์ NBT ถูกพันธมิตรยึด ทำลายข้าวของ ไล่พนักงานออกนอกอาคาร ไม่เห็นมี สว.หน้าไหนเดือดร้อน โผล่หัวไปให้กำลังใจ หรือขอหารือกับนายกฯ เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด

ฟังเหตุผลของเหี้ยกลุ่มที่หนึ่งก็รู้สึกเห็นใจ ส่วนเหี้ยกลุ่มที่สองก็ถูกตำรวจตีหัว และแพ้ก็ไม่ได้ เพราะกิจการหนังสือพิมพ์ ทีวี และสื่อต่าง ๆ ก็จะจบกัน แถมยังติดคุกหัวโต ก็สามารถสรุปได้ว่า เมื่อไหร่มันจะกัดกันให้ตายไปเสียทั้งคู่ เหี้ยจะได้น้อยลงไปบ้าง แล้วก็คงจะมีเหี้ยตัวใหม่มาให้ด่าต่อไปอีก หรือว่าสักวันหนึ่งผู้เขียนก็จะกลายร่างเป็นเหี้ยเสียเองก็ไม่รู้